บทความที่เขียนตามใจฉัน อาจมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง ขึ้นอยู่กับผู้อ่าน 😌
[บันทึกนี้นำมาจากบันทึกที่เขียนไว้ในเฟสบุ๊คของตัวเอง]
เนื่องในโอกาสที่ได้มาเข้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัยที่ทำร่วมกับอาจารย์อีกท่าน ในงานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 17 ราชภัฏนครปฐม ที่จ.นครปฐม และได้มีโอการเข้ารับฟังบรรยายหัวข้อ “AI กับการพัฒนาทางการเกษตร” โดย ดร.ภาคภูมิ ศรีธิมากุล ประธานกรรมการบริษัท แพคกอน จำกัด บริษัท ซิเคียว คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท เอ็นทีพี เซมิคอนดักเตอร์ จำกัด และเห็นว่าเนื้อหาที่ท่านบรรยายเป็นประโยชน์มาก จึงขอสรุปเนื้อหาเท่าที่พอจำได้ เพื่อเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์กับทุกคนไม่มากก็น้อย
.
ท่านเปิดประเด็นด้วยภาพคนกำลังยืนที่ริมผา แล้วอธิบายว่า คนเราถ้าไม่มีปัญหาเราจะไม่มีการคิดถึงการแก้ปัญหา และนวัตกรรมก็จะไม่เกิด ประเทศที่เขาพัฒนาไปไกล อย่างเช่น อิสราเอล ที่เป็นประเทศทะเลทราย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรขนาดใหญ่ อันนี้ขอยืนยันจากการที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่นั่นมาเมื่อเกือบๆ 20 ปีที่แล้ว ก็เห็นได้ชัดเลยว่าอิสราเอลมีการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตรอย่างมาก ไม่แปลกใจที่เขาได้เป็นหนึ่งในมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร
นอกจากอิสราเอลก็จะมีญี่ปุ่นที่โดนพิษจากสงครามโลกและภัยพิบัติมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สามารถกลับมาครองตำแหน่งเจ้าแห่งเทคโนโลยีระดับโลกได้ (แต่อนาคตก็ไม่แน่ใจ) ไต้หวันมีพื้นที่น้อยกว่าเราแต่ทำไมเขาสามารถเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดัคเตอร์ได้ ไม่ใช่แค่ว่าเขามีวัตถุดิบ แต่สิ่งที่ประเทศเหล่านี้มีร่วมกันคือ "ปัญหาและอุปสรรค"
.
การที่เรามีปัญหาและอุปสรรคจะทำให้เราเติบโต ท่านดร.ภาคภูมิ กล่าวไว้ว่า หากต้องการให้นักศึกษาคิดเองเป็น เติบโตได้ ให้เอาเขาไปวางไว้ที่ปากเหว แล้วเขาจะเปิดโหมดที่เรียกว่า "โหมดเอาตัวรอด" ขึ้น และทำให้เกิดการเรียนรู้ได้จากแรงผลักดันของตัวเอง ไม่ใช่จากการเข็นของอาจารย์ อันนี้เห็นด้วยอย่างมาก จากการที่ตัวเองต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่น ต้องดูแลตัวเอง รู้เลยว่าอุปสรรคทำให้เราเติบโตขึ้นได้มากจริงๆ แต่มันจะมีกำแพงที่เรามองไม่เห็นกั้นอยู่ระหว่างการเติบโตกับตัวเรา นั่นคือ "ความกลัว"
.
ความกลัวไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ความกลัวทำให้เราทำอะไรอย่างระมัดระวัง และรอดจากหายนะตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน แต่ความกลัวนั้นเองถ้าเรามองมันไม่ถูก หรือว่าเอามันมาตั้งไว้ตรงหน้าเรา เราจะไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าเราสามารถเอาความกลัวมาวางไว้ข้างๆตัว เหมือนกับว่าเป็นผู้ช่วยที่คอยเตือนเราในทางที่อันตรายจริงๆ ความกลัวจะก่อให้เกิด "ความกล้า" ขึ้นมา และความกล้านี่แหล่ะ จะผลักให้เราตรงไปที่เหว และเติบโตต่อไปได้ ดังนั้นไม่ผิดเลยที่จะมีความกลัว แต่เราแค่ต้องวางความกลัวให้ถูกที่เท่านั้นเอง
ด้วยความที่ท่านดร.ภาคภูมิ เคยทำงานทั้งในระบบการศึกษา และต่อมาได้ไปทำงานให้กับกระทรวงการต่างประเทศ (ท่านเป็นผู้ออกแบบ e-passport ที่พวกเราได้ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้) และได้ทำงานกับหน่วยงานต่างประเทศมากมาย ทำให้ท่านมีประสบการณ์ที่หลากหลาย ท่านยืนยันกับคนในห้องเลยว่า "คนไทยไม่ได้กระจอก เราเก่งไม่แพ้คนอื่นๆ แค่เราชอบคิดว่าเรากระจอกเท่านั้นเอง" การออกไปอยู่โลกภายนอกจะทำให้เราเห็นได้กว้างมากขึ้น ว่าจริงๆแล้วเราเองก็มีความสามารถไม่แพ้คนประเทศอื่นๆ (อันนี้ก็เห็นจากตัวเองเช่นกันว่า เป็นเราที่เป็นด้าวซะอีกที่ต้องไปสอนวิชาฟิสิกส์กับเคมีให้กับเพื่อนคนญี่ปุ่น)
ก็เลยคิดว่าต่อไปจะผลักเด็กๆให้ไปสู่ปากเหวกันมากขึ้น แต่จะพยายามให้อุปกรณ์ที่จะทำให้เขารอดตายได้ติดตัวไปให้มากที่สุด เผลอๆ อาจารย์จะกระโดดไปด้วย (ฮ่า) เราจะได้เติบโตไปด้วยกันเนอะ เพราะการเรียนการสอนไม่ใช่การเทน้ำลงถัง (ให้ความรู้ใส่หัวนักเรียนแล้วไปคายในห้องสอบ) แต่เป็นการจุดไฟ (ก็ไม่ใช่การเผาเด็ก แต่เป็นการที่จุดประกายความคิด จุดไฟของนักคิด นักพัฒนาในตัวเด็กๆให้ได้)
.
นอกจากเรื่องประสบการณ์ด้านการทำงาน ท่านก็ได้นำเรื่องที่เกี่ยวกับ AI และการเกษตรมาเล่าสู่กันฟัง โดยท่านเริ่มเปิดประเด็นโดยการที่บอกให้ทุกคนไปเล่นหุ้น! งงกันทั้งห้องเลย แต่ท่านบอกต่อว่า การที่เราเล่นหุ้น ไม่ใช่แค่เราจะได้มีโอกาสมีเงินแล้ว หุ้นยังเป็นตัวกระตุ้นให้เราต้องสนใจโลกภายนอกมากขึ้น เราจะเข้าใจความเป็นไปและทิศทางของสิ่งต่างๆในโลกมากขึ้น การเกษตรก็เช่นกัน เราต้องยอมรับแล้วว่าการทำการเกษตรในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่การอ่านดิน น้ำ ลม ฝน ต้นไม้ แล้ว แต่มันคือการที่จะต้องบูรณาการประสบการณ์ ความรู้ ภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เกษตรกรมี กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เกิดเป็นนวัตกรรมขึ้น เพื่อแก้ปัญหาและทำให้การเกษตรไทยก้าวหน้ามากขึ้น นอกจากนั้นยังต้องตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันให้ทันอีกด้วย ท่านได้ให้ตัวอย่างเรื่องรถไฟฟ้า หลายคนอาจจะมองว่าการวิจัยเรื่องแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องพัฒนาให้ได้ดีขึ้น ให้บรรจุไฟฟ้าได้มากขึ้น ฯลฯ แต่ในความเป็นจริง รถไฟฟ้า เป็นเพียงขั้นบันไดระหว่างทางไปสู่จุดที่สูงกว่านั้น คือ รถยนต์อัตโนมัติ เราต้องมองจุดหมายปลายทางที่กระแสโลกจะพาไปให้ได้ อย่ามองแค่ระหว่างทาง เพื่อที่จะได้วิจัยและผลิตสินค้าออกมาให้ตรงตามเป้าจริงๆ
.
แต่ใดๆการทำตามกระแสโลกก็อาจจะต้องพิจารณาให้รอบด้าน ถ้าเป็นในด้านการเกษตร เราอาจจะมองว่าการทำโรงงานพืช การปลูกไฮโดรโปนิกส์ การใช้ไฟ LED จำลองแสงธรรมชาติ เป็นเทคโนโลยีที่เจ๋งสุดยอดแล้ว ท่านบอกว่าให้พิจารณา "สิ่งที่เรามี" และ "สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริงๆ" บ้านเราแสงดี ดินดี น้ำดี จะต้องพึ่งแสงสังเคราะห์ทำไม เปลืองไฟเปล่าๆ โรงงานพืชเหมาะกับประเทศที่สิ่งแวดล้อมเขาไม่เอื้ออำนวยและต้องการปลูกให้ได้ปริมาณมาก (เขาถึงเรียกเทคโนโลยีเหล่านี้ว่าเป็นการปลูกพืชในสภาพแวดล้อมแบบควบคุม) อย่างเช่นที่ไต้หวัน เมื่อก่อนเคยทำโรงงานพืชมากมาย แต่ตอนนี้เจ๊งไม่เป็นท่า ต้องพับโครงการกันไปหมด เปลี่ยนมาทำไฟ LED สำหรับโรงงานพืชแล้วส่งมาขายให้พวกเราอีกที (อ้าว) ดังนั้นสิ่งที่เราต้องศึกษาจริงๆคือการที่จะปลูกอย่างไรให้เหมาะสมกับพื้นที่ประเทศเรา และ "ความต้องการจริงๆของผู้บริโภค" ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการผลผลิตที่มากจนล้นตลาด แบบที่เราเห็นกำลังเกิดขึ้นกับผลผลิตหลายๆชนิดในบ้านเรา แต่ผู้บริโภคต้องการผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพจริงๆ พูดง่ายๆก็คือ ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการกินผักเยอะๆ แต่ต้องการกินผักที่"อร่อย" "มีคุณค่าทางอาหาร" และ "ราคาเอื้อมถึงได้" นี่แหล่ะคือประเด็นที่เราจะต้องพิจารณาจริงๆ หมดยุคที่จะทำอะไร ใหญ่ที่สุด ยาวที่สุด เยอะที่สุดแล้ว แต่ต้องเป็นยุคที่ "ผักสีเขียวหวานกรอบที่สุด" "ทุเรียนที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะที่สุด" "แมลงที่ให้โปรตีนเยอะที่สุด" เนี่ย เรามีหัวข้องานวิจัยให้ทำอีกเยอะเลย (แต่เวลาเท่าเดิมนะ)
.
ที่เล่ามาทั้งหมดอาจจะไม่ครบถ้วน และมีการแทรกความคิดกับประสบการณ์ตัวเองเข้าไปเยอะอยู่ กล่าวโดยสรุปก็คือการที่เราจะพัฒนาได้ เราต้องพาตัวเองไปอยู่ในนรก (ท่านใช้คำนี้) เราจะได้พัฒนาตัวเองได้ หาทางแก้ หาทางรอดให้ตัวเองได้ ราชสีห์กับกวางมีความกลัวเหมือนกัน ในขณะที่กวางกลัวที่จะถูกฆ่าเลยต้องวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่ราชสีห์กลัวที่จะไม่มีอาหารกิน เลยเปิดโหมดเอาตัวรอด สู้ยิบตาจนได้อาหารมา ราชสีห์ถึงได้เป็นเจ้าป่า มนุษย์เรามีความกลัวเหมือนกับทั้งกวางและราชสีห์ แต่เราดีกว่าตรงที่ เราเลือกได้เองว่าจะเป็นกวางที่ถูกกิน หรือเป็นราชสีห์ที่ครองป่า ใดๆคือจงอย่าดูถูกตัวเอง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ มีแต่เรื่องที่เราไม่ได้ทำ
จบบันทึกเท่าที่ความจำจะเอื้ออำนวย
สรวีย์ ธัญญมาดา
4 กรกฎาคม 2568